วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

Post Modern ศิลปะอ็อป อาร์ต (Op Art)

ศิลปะอ็อปอาร์ต (OP Art)


เริ่มในอเมริกา และขยายไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว ศิลปินกลุ่มนี้มีความเห็นว่า ตามีความสำคัญกว่าสมอง เป็นศิลปินที่มุ่งเน้นตามทฤษฎีการมองเห็น (Visual theory)เกี่ยวข้องกับประสาทตา บางทีก็เรียกว่า ทฤษฎีของการรับรู้ ซึ่งมีหลักสำคัญ 3 ประการ
1.ทฤษฎีแสงและเงา (Light and Shode)
2.ทฤษฎีรูปและพื้น (Figure and Ground)
3.ทฤษฎีสมดุล และตัดกัน (Balance and Coutrast)

การมองเห็นทั้ง 3 วิธีนี้มีการคิดค้นเพื่อเขียนภาพกันมากจนทำให้ศิลปะออปอาร์ตได้รับความนิยมกว้างขวางไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ศิลปะออปอาร์ต คำนึงถึงสีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นิยมใช้สีที่มีความเข้มมาก หรือมีความสดใสมาก แสดงให้เห็นว่าตัดกัน ทับกัน หรือเหลื่อมล้ำกัน เพื่อให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวและสะดุดตา บางครั้งทำให้ดูตื้น ลึก ด้วยเส้น หรือ รู้สึกวูบวาบ เคลื่อนไหวคล้ายคลื่น ล้อสายตาอยู่ สีที่ศิลปินออปอาร์ต นิยมใช้มากที่สุดคือ สีดำกับสีขาว ผู้บุกเบิกศิลปะออปอาร์ต คือ วาสารี และอัลเอร์ล ทั้งสองได้รับความสำเร็จอย่างมากในอเมริกา

ศิลปะออปอาร์ต เป็นศิลปะที่มุ่งถึงสายตา การมองเห็น เรื่องตาเป็นเรื่องสำคัญของศิลปะแบบนี้ การรับรู้ทางตาเป็นปัญหาที่พยายามค้นคว้ากันอยู่เสมอ นักจิตวิทยาบางคนพยายามที่จะทดลองหาข้อเท็จจริงว่า ตาหรือสมองกันแน่ ที่เป็นสื่อกระตุ้นประสาทการรับรู้ต่างๆของมนุษย์ โดยพยายามที่จะหาข้อมูลเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการเห็น การคิด ความรู้สึกและความจำ แต่ก็ไม่สามารถวิเคราะห์ออกจากกันได้ว่าอันไหนสำคัญกว่า...เมื่อยังหาข้อสรุปไม่ได้ ว่าตาหรือสมองสำคัญกว่ากัน ศิลปินออปอาร์ตจึงเลือกเชื่อตามความคิดของตนว่า ตามีความสำคัญกว่า เน้นการเห็นด้วยตาเป็นข้อสมมติฐานในการแสดงออกทางศิลปะ แนวคิดของงานอยู่บนความเชื่อที่ว่า จิตรกรรมประกอบด้วยเส้น และสี ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญ เส้นและสีต้องมีการแสดงออกอย่างเสรี โดยไม่เลียนแบบธรรมชาติ เส้นและสีต้องมีความกลมกลืนกัน จิตรกรรมปรากฎบนระนาบผิวหน้าของผ้าใบ ซึ่งเป็นบริเวณที่รวบรวมรูปแบบและความรู้สึกของจิตรกรรม ดังนั้นระนาบผิวหน้าจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องไม่ลอกเลียนแบบธรรมชาติไม่ลอกเลียนวิชาเปอร์สเปคตีฟ(เป็นเรื่องของเส้นสายตาที่มองใกล้ ไกล สิ่งที่อยู่ใกล้ใหญ่ สิ่งที่อยู่ไกลเล็กเป็นต้น)แต่จะต้องรู้สึกตื้นลึกด้วยตัวมันเอง

ศิลปินที่พยายามแสดงความรู้สึกของตนอย่างเสรี จะยึดรูปทรงง่ายๆเป็นหลัก ยิ่งง่ายยิ่งเป็นสากล สียิ่งบริสุทธิ์ก็ยิ่งเป็นสากล สีที่บริสุทธิ์คือแม่สีเบื้องต้นที่ไม่ได้เกิดจากการผสมจากสีอื่น

ออปอาร์ตได้รับอิทธิพลจากกลุ่มฟิวเจอริสม์ ซึ่งย้ำเน้นถึงความเคลื่อนไหว ความเร็ว และวิทยาศาสตร์แขนงฟิสิกซ์เป็นอันมาก ออปอาร์ดจะเน้นความเคลื่อนไหวของรูปแบบให้เป็นจิตรกรรม โดยวิธีการซ้ำๆกันของส่วนประกอบทางศิลปะ เพื่อให้ผู้ดูตระหนักในความเปลี่ยนแปลงของรูปแบบศิลปะที่สะท้อนภาพสังคมปัจจุบัน แบบอย่างของออปอาร์ดนอกจากจะเป็นจิตรกรรมแล้ว ในวงการอุตสาหกรรมแบบอย่างของออปอาร์ตก็มีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันอยู่มาก ในรูปแบบของลายผ้า การตกแต่ง เวที การจัดร้านต่างๆเป็นต้น

ศิลปะยังคงดำเนินต่อไปอย่างสอดคล้องต่อชีวิตประจำวัน การเปลี่ยนแปลงคือนิรันดร์ การจะโหยหาให้อนุรักษ์แต่ของดั้งเดิมอย่างไม่ลืมหูลืมตานั่นเพราะขาดความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะ หากจะอนุรักษ์แบบนั้นก็ต้องอนุรักษ์วิถีชีวิตด้วย เมื่อวิถีชีวิตเปลี่ยน ศิลปะจะไม่เปลี่ยนได้อย่างไร มันผิดหลักธรรมชาติของมนุษย์ ปัญหาจึงอยู่ที่จะปรับเปลี่ยนศิลปะไปในทิศทางใด เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตของคนในท้องถิ่นนั้นๆอย่างดีที่สุดต่างหาก



































นอกจากศิลปะแบบอ็อปอาร์ตจะเป็นภาพเขียนธรรมดาแล้ว ปัจจุบันยังมีคนนำศิลปะแบบอ็อปอาร์มาประยุกต์ใช้กับสินค้าต่างๆมากมาย จนได้รับความนิยม และเราอาจคุณตาตามแหล่งทั่วไป ดังภาพตัวอย่างต่อไปนี้















และยังใช้ภาพศิลปะแบบอ็อปอาร์ตมาประดับตกแต่งอาคาร เพื่อความสวยงามมากยิ่งขึ้น ดังภาพตัวอย่างต่อไปนี้








แหล่งอ้างอิง :
www.bloggang.com/mainblog.php?id=warramutra
http://www.ipesk.ac.th/VISUAL%20ART/lesson455.html

1 ความคิดเห็น:

  1. เหตุที่ดิฉัน ชอบศิลปะโพสโมเดิล แบบอ็อปอาร์ต เนื่องจาก มีเอกลักษณ์ที่พิเศษ ดูลึกลับ ซับซ้อน แบบสามิติ ถึงแม่จะเป็นภาพเพียงภาพเดียวแต่ก็สามารถมองได้หลากหลายมุมมอง และในปัจจุบันจะสังเกตุเห็นสถาปันนิกหรือวิศวกร นำเอาศิลปะแบบอ็อปอาร์ตมาดัดแปลงเข้ากับตึกอาคารมากขึ้น และ มองดูแล้วทำให้ตึกสวยงามและเป็นสามิติ นอกจากนี้ ยังมีการนำเอาภาพศิลปะแบบอ็อปอาร์ตมาตกแต่งเข้ากับของใช้จนเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
    และคุ้นหูคุ้นตาเราเป็นอย่างมาก

    ตอบลบ